วิเวก ดาวัน ผู้ก่อตั้งซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้นำหัวหน้าโค้ชแห่งแบรนด์เมก้าวีแคร์ เป็นผู้บริหารที่ช่างคิดช่างทำ และเป็นบุคคลแนวหน้าในวงการสุขภาพ ยารักษาโรคและอาหารเสริม เมื่ิอไม่นานมานี้ ท่านได้ให้สัมภาษณ์ทีมงานอีลีทพลัสที่บ้านของท่าน ซึ่งแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติและตั้งอยู่บนเนินเขาในอำเภอมวกเหล็ก ท่านได้เล่าถึงประสบการณ์ ปรัญชาความคิดในการทำงาน และพันธกิจ “ช่วยผู้คนให้มีสุขภาพดี ตราบเท่าที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่” ด้วยการมี “สุขภาพให้ดีได้ด้วยตัวเอง” ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของศูนย์สุขภาพ เวลเนส วีแคร์ ที่ท่านได้ร่วมก่อตั้งขึ้น และตั้งอยู่ริมเนินเขาที่บ้านของท่านนั่นเอง
บทสัมภาษณ์ของเราเริ่มจากการศึกษาของท่าน “ผมเกิดและโตที่อินเดีย ครอบครัวของเราย้ายบ้านทุก 3-4 ปี เนื่องจากคุณพ่อของผมเป็นวิศวกรเคมี ต้องไปสร้างโรงงานเคมีตามเมืองต่างๆ ในปีค.ศ. 1977 คุณพ่อก็ถูกส่งมาสร้างโรงงานผลิตสารเคมีที่เมืองไทย ปีถัดไปผมก็ตามมา มาเรียนที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดีจนจบมัธยมปลาย คุณพ่อเป็นวิศวกร ท่านก็คาดหวังให้ผมเป็นวิศวกรด้วย ผมกลับไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อินเดีย สาขาวิศวกรรมเครื่องยนตร์ ที่วิทยาลัยวิศกรแห่งเดลี ซึ่งปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเดลี
เมื่อเรียนจบก็กลับมาเมืองไทยและตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริกา คุณพ่ออยากให้ผมแต่งงานก่อนที่จะไปเรียนต่อ เพื่อเป็นหลักประกันว่าผมจะกลับเมืองไทยหลังจากเรียนจบ ผมจึงแต่งงานกับราชี ครอบครัวของพวกเราสนิทกัน ก็เป็นไปตามธรรมเนียมของอินเดีย ครั้งแรกที่ผมพบภรรยา เรายังไม่ได้รักกันหรอก เราค่อยๆเริ่มรักกันหลังจากนั้น แล้วผมก็ไปเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น อิลลินอยส์ เมืองคาร์บอนเดล รัฐอิลลินอยส์ เรียนอยู่ 2 ปี พอเรียนจบผมก็อยู่เที่ยวต่อในอเมริกาและยุโรป ก่อนที่จะกลับมาทำงานที่เมืองไทย
งานแรกของท่านคืองานอะไรครับ
ต้องบอกก่อนเลยว่าคุณพ่อของผมอยากมีบริษัทเป็นของตัวเองมาตลอด ท่านอยากมีธุรกิจให้ลูกหลานได้สืบทอดต่อ ในปีค.ศ. 1986 ท่านร่วมทำธุรกิจกับตระกูลชาห์ ครอบครัวไทยเชื้อสายอินเดีย ตระกูลชาห์ทำธุรกิจค้าขาย แต่อยากเริ่มทำธุรกิจด้านการผลิตด้วย ตระกูลชาห์จึงลงทุนก้อนใหญ่ คุณพ่อถือหุ้นส่วนหนึ่ง ใช้ประสบการณ์และความชำนาญการณ์ของท่านทำงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของบริษัท หนึ่งในโรงงานเหล่านั้นคือโรงงานผลิตเจลาตินแบบนิ่ม เป็นโรงงานเล็กๆ มีเครื่องจักร 2 ตัวและพนักงาน 10 คน อยู่ที่ บางปู สมุทรปราการ คุณพ่อถามผมว่าผมอยากไปทำงานที่นั่นไหม ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับวงการยารักษาโรคเลย ผมจบวิศวกรเครื่องยนตร์และก็เพิ่งจบบริหารธุรกิจมา แต่พอได้ไปดูงานผมก็เห็นว่ามันก็โอเคนะ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่พาผมมาถึงจุดๆนี้
แล้ววิวัฒนาการของธุรกิจนั้นเป็นอย่างไรต่อครับ
อย่างที่เล่าให้ฟังว่าบริษัทมีขนาดค่อนข้างเล็กและเริ่มขาดทุน ถึงผมจะมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรเครื่องยนตร์ แต่ความรู้อย่างเดียวก็ไม่พอที่จะผลิตสินค้าคุณภาพสูงออกมาขายได้ เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะผลิตวัตถุดิบและส่วนประกอบคุณภาพสูงในสภาพอากาศแบบเมืองไทยได้ คู่แข่งของเราไม่ใช่โรงงานในไทย แต่เป็นโรงงานในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เยอรมัน ซึ่งเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลก ตอนนั้นเราส่งผลิตภัณฑ์ให้บริษัทผลิตและจัดจำหน่ายอยู่เจ้าเดียว คือบริษัทเบอร์ลิน ฟาร์มาซูติคอล อินดัสทรี จำกัด แต่ถึงกระนั้น เราต้องส่งเฉพาะแคปซูลคุณภาพสูง เพื่อให้บริษัทนั้นผลิตยาขายให้โรงพยาบาลต่างๆในเมืองไทยได้
ตอนแรกเราต้องทิ้งของประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ และส่งเฉพาะผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสุดตามมาตรฐาน แต่เมื่อกระบวนการผลิตและการจัดการของเราดีขึ้น เราก็เริ่มบุกตลาดต่างประเทศ เราขยายตลาดด้วยการเชิญทีจีเอ (หน่วยงานบริหารสินค้ารักษาโรคของออสเตรเลีย) มาตรวจสอบโรงงาน ทีจีเอสอนงานให้เราเยอะมาก เราทำตามที่หน่วยงานนั้นสอน จนเรากลายเป็นเจ้าแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานวิธีการในการผลิตยา และหลังจากนั้น เราก็ส่งสินค้าไปขายที่ออสเตรเลีย
เมื่อรายได้มากขึ้น เราก็ลงทุนเพิ่ม ขยายโรงงาน ขยายธุรกิจ แต่เราก็ไม่เคยหยุดพัฒนาคุณภาพสินค้าเลย เพราะเราผลิตสินค้าคุณภาพสูงสุดอยู่เสมอ แบรนด์เมดิแคปของเรา หนึ่งในผู้ผลิตแคปซูลชนิดเปลือกนิ่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสำหรับตลาดส่งออก จึงได้รับการรับรองมาตรฐานวิธีการในการผลิตยาที่เยอรมัน และผ่านไอเอสโอ 9002 แทนที่เราจะรอให้ลูกค้ามาติดต่อเรา เราเข้าหาลูกค้าเอง ด้วยสโลแกนที่เราใช้มาถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็คือ “เราแบ่งปันไอเดียให้กัน” เมื่อเรามีสินค้าใหม่ เราจะนำเสนอลูกค้าทันที เพราะนวัตกรรมใหม่เหล่านี้เป็นประโยชน์แก่ลูกค้า
เรามีสินค้าลงทะเบียนใหม่ไปเสนอลูกค้าตลอด และพัฒนาคุณภาพสินค้าที่เราผลิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ
บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัดมหาชน กับแบรนด์เมก้าวีแคร์ มีความเป็นมาอย่างไรจึงประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ครับ
ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนเดินมาเจอทางแยก ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางไหน ผมถามตัวเองว่าเราควรเป็นโรงงานรับจ้างผลิตต่อไป หรือควรผลิตและขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของเราเอง ในฐานะโรงงานรับจ้างผลิต เราต้องแข่งกับโรงงานผู้ผลิตอื่นๆ เมื่อใดที่โรงงานอื่นทำราคาได้ดีกว่า ลูกค้าก็จะไม่จ้างเรา สถานะในตอนนั้นคือเราต้องพึ่งพาผู้อื่น และผมก็ไม่อยากอยู่ในสถานะนั้น อีกอย่างคือ ช่วงนั้นผมเดินทางบ่อย ผมมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆอยู่เสมอ และได้เห็นว่าวงการวิตามินและอาหารเสริมเริ่มเกิดขึ้นแล้วทั่วโลก แต่สำหรับเมืองไทยนั้นยังใหม่อยู่มาก กฎเกณฑ์ต่างๆยังค่อนข้างคลุมเครือ และคู่แข่งก็ยังมีน้อยอยู่มาก
ในปีค.ศ. 1995 ผมจึงซื้อตึกแถวในซอยสุขุมวิท 33 ซื้อหุ้นทั้งหมดจากหนึ่งในบริษัทของเราที่กำลังขาดทุน จัดตั้งเมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ และขายสินค้าที่เราผลิตภายใต้แบรนด์ของเราเอง ซึ่งก็คือเมก้าวีแคร์ ช่วงนั้น ผมเห็นบริษัทใหญ่ๆจากยุโรปที่ขายและจัดจำหน่ายสินค้าในประเทศไทย เริ่มขยายสาขากันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผมก็คิดว่าแล้วทำไมผมไม่ทำบ้าง ผมเริ่มจากการเปิดออฟฟิศที่อินเดีย และเมื่อเมียนมาร์เริ่มลดกฎเกณฑ์ต่างๆและต้อนรับบริษัทต่างชาติมากขึ้น ผมก็จ้างพนักงานและเปิดสาขาในเมียนมาร์ เวียดนามและกัมพูชาในเวลาต่อมา หลังจากแบรนด์เมก้าวีแคร์ เริ่มมีชื่อเสียงและติดตลาด ผมก็เข้าหาแบรนด์ดังๆเช่น จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เพื่อเสนอตัวเป็นตัวแทนและผู้จัดจำหน่าย ผมพัฒนาซอฟแวร์ขึ้นมาเพื่อรับรองและจัดการกับธุรกิจใหม่นี้ หาโกดังเพิ่ม และพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศเหล่านี้
สัดส่วนธุรกิจในปัจจุบันของเรา 49 เปอร์เซ็นต์คือการเป็นตัวแทนและผู้จัดจำหน่าย 51 เปอร์เซ็นต์คือการขายและทำการตลาดผ่านแบรนด์ของเราเอง ธุรกิจของเราเติบโตอยู่ใน 33 ประเทศ ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ดำเนินการอยู่นอกเมืองไทย แต่อยู่ในภูมิภาคอินโดจีน ธุรกิจของเราเติบโต แตกแขนง และมีบริษัทย่อยเกิดขึ้นมากมาย เราทำงานภายใต้ปรัชญา “ช่วยผู้คนให้มีสุขภาพดี ตราบเท่าที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่” ด้วยการขายสินค้าคุณภาพดี ในราคาที่เหมาะสมและย่อมเยา
ไม่ว่าจะเป็นในภูมิภาคไหน จะเป็นเอเชีย แอฟริกา หรือยุโรป สินค้าและผลิตภัณฑ์ของเรามีคุณภาพสูงและมีมาตรฐานแบบเดียวกัน เราใช้มาตรฐานนี้ก่อนที่รัฐบาลในบางประเทศจะกำหนดมาตรฐานให้ผลิตภัณฑ์ประเภทนั้นๆด้วยซ้ำ และก็เป็นมาตรฐานที่ใกล้เคียงกับมาตรฐานสินค้าของเราอยู่แล้ว เราผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าคุณภาพสูงสุดและให้ประโยชน์แก่ผู้ใช้มากที่สุด ซึ่งไม่ได้มีเพียงยารักษาโรคเท่านั้น แต่ยังมีผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่หลากหลาย เช่น ยาและอาหารเสริมสมุนไพร ซึ่งคนสามารถเลือกบริโภคได้ก่อนที่จะไปพึ่งพายารักษาโรคแบบจริงจัง ไลน์ธุรกิจที่สามของเราคือยาบรรเทาปวดโอทีซี ฝั่งตะวันตกจะเรียกชื่อนี้ ส่วนตัวผมเองเรียกยานี้ว่ายาสำหรับผู้รักษาตัวเองในกรณีเจ็บป่วยเล็กน้อย อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้ว ว่าผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของเราถูกออกแบบมาเพื่อช่วยผู้คนให้มีสุขภาพดี มีความสุข ตราบเท่าที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่
การดูแลสุขภาพและรักษาโรคเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจของท่าน ท่านช่วยเล่าความเป็นมาของศูนย์สุภาพ เวลเนส วีแคร์ ที่ท่านร่วมก่อตั้งกับนพ. สันต์ ใจยอดศิลป์ ให้ฟังหน่อยครับ
ต้องบอกก่อนเลยว่าผมเป็นคนฝักใฝ่ความรู้ ผมขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ ผมชอบอ่านหนังสือและค้นคว้าสิ่งที่สนใจ ประมาณ 10 ปีก่อน ผมสงสัยและได้หาข้อมูลว่าการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต ทำให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง ตอนนั้นผมเป็นโรคหัวใจ ผมต้องสวนหัวใจ ต้องผ่าตัดสอดสายสวนเข้าไปในหลอดเลือดเพื่อกำจัดสิ่งที่กีดขวางระบบไหลเวียนเลือดอยู่ โรคหัวใจของผมนั้นส่วนหนึ่งมาจากพันธุกรรม คุณพ่อและคุณปู่ของผมก็เป็น อย่างไรก็ตาม ผมรู้แล้วว่าพันธุกรรมเป็นเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ของโรคนี้เท่านั้น อีก 80 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือไลฟ์สไตล์ของผมล้วนๆ
ผมได้อ่านวิจัยของดร. ดีน ออร์นิช จากสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต ผลวิจัยกล่าวว่าการออกกำลังกายเยอะๆ รับประทานอาหารที่ทำจากพืช อาหารปราศจากการปรุงแต่ง อาหารไขมันต่ำสามารถเปิดหลอดเลือดและลดความเจ็บป่วยจากโรคหัวใจได้ วิจัยนี้และฉบับอื่นๆเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเริ่มทานอาหารที่ทำจากพืชและเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต มันทำให้ผมรู้ว่าการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคเรื้อรังได้เท่านั้น แต่ยังรักษาโรคได้ด้วย
ผมค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มขึ้น ตั้งใจว่าจะสร้างโมเดลทางธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพตามศาสตร์นี้ แล้วก็อยากจะเปิดศูนย์ดูแลสุขภาพเพื่อเผยแผ่ความรู้จากศาสตร์นี้ด้วย ผมถามเอเจนท์ที่ผมทำงานด้วยว่ารู้จักใครในเมืองไทยที่สนใจศาสตร์นี้อยู่บ้าง เอเจนท์ก็แนะนำบล็อคของนพ. สันต์ มา บล็อคของคุณหมอเกี่ยวกับอาหารที่ทำจากพืช และการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต คุณหมอเป็นหมอโรคหัวใจที่ผู้คนเคารพนับถือ ตัวท่านเองก็เคยเป็นโรคหัวใจ แต่ไม่อยากผ่าตัดและเริ่มค้นคว้าหาวิธีรักษาทางเลือก
ผมได้พบกับคุณหมอ เรามีความคิดที่คล้ายๆกัน จึงร่วมกันจัดตั้งศูนย์ดูแลสุขภาพ เวลเนส วีแคร์ขึ้น เราสอนให้คนป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตัวเอง นอกจากจะสอนเรื่องการรับประทานอาหารที่ทำจากพืชแล้ว เราสอนและฝึกให้คนออกกำลังกาย ถ้าจะเดิน ก็ให้เดินมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจะปั่นจักรยาน ก็ให้ปั่นมากขึ้นไปอีก ศูนย์จะตรวจโรค จ่ายยาและรักษาโรคด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดและศาสตร์อายุรเวท ทั้งหมดทั้งปวงนี้ เป้าหมายคือสอนให้คนดูแลตัวเอง ทำให้ตัวเองสุขภาพดี มีความสุข ตราบเท่าที่พวกเขายังมชีวิตอยู่
เรานำเรื่องการมีสุขภาพดีด้วยตัวเอง มาใช้ที่เมก้าวีแคร์ด้วย ที่ศูนย์เวลเนส วีแคร์มโปรแกรม “สุขภาพให้ดีได้ด้วยตัวเอง” อยู่ และเราก็เอาโปรแกรมนี้ มาใช้ในองค์กรเช่นกัน เราพาพนักงานมาที่ศูนย์เวลเนส วีแคร์ ให้พนักงานได้เรียนรู้และปฏิบัติ ถ้าคนรู้สึกแข็งแรง ก็จะมีความสุขมากขึ้น มาทำงานอย่างมีความสุข ชีวิตจะสนุกมากขึ้น ถ้าคนมีความสุข ประสิทธิภาพในการทำงานจะดีขึ้น ดีต่อธุรกิจของเรา ถ้าคนสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข สุขภาพจิตครอบครัวของพนักงานก็ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลก็ไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลให้ประชากรมากนัก มีแต่ได้กับได้
ในนามบัตรของท่านเขียนว่านอกจากจะเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเมก้าวีแคร์แล้ว ท่านยังเป็นผู้นำหัวหน้าโค้ชอีกด้วย ตำแหน่งนี้คืออะไรครับ
อาจจะต้องเกริ่นก่อนว่าเจ้านายจำนวนมากชอบให้การปกครองในองค์กรเป็นแบบเป็นลำดับขั้น ชอบการควบคุมและสั่งงานจากบนลงล่าง แต่ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผมชอบสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ทำให้พนักงานรู้สึกสบายใจ ให้พวกเขาทำงานได้อย่างสนุกสนาน ทำงานบรรลุเป้าหมายหรือมากกว่าศักยภาพตัวเอง ผมเคารพพนักงานเช่นเดียวกับที่พวกเขาเคารพผม ผมฟังและเชื่อมั่นในตัวพวกเขา ให้พวกเขาได้ทดลองสิ่งใหม่ๆ ถึงแม้ผลจะออกมาล้มเหลวก็ตาม เพราะเราสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ นำมาเป็นประสบการณ์เพื่อก้าวต่อไป เรายังไม่บรรลุเป้าหมายทุกอย่างที่เรากำหนดไว้หรอก ไม่มีบริษัทไหนบรรลุเป้าหมายตลอดเวลาหรอก แค่ไม่ได้เอาความล้มเหลวมาป่าวประกาศให้ใครๆฟังเท่านั้นเอง แต่ปรัชญาของผมคือเราต้องมองไปข้างหน้า อย่าจมอยู่กับความผิดพลาด เรียนรู้จากมันเพื่อจะได้พัฒนาสมรรถภาพของตน
งานผู้นำหัวหน้าโค้ชของผม ก็คือให้คำแนะนำและสนับสนุนพนักงานของเรามากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ตอนที่ผมเปิดสาขาในเวียดนามและเมียนมาร์ในเวลาต่อมา ผมจ้างคนที่คิดว่ามีทักษะและศักยภาพ แล้วก็ให้จัดการทุกอย่างกันเอง งานตำแหน่งเดียวกันไม่ใช่ว่าใครๆก็สามารถทำได้ เหมือนวงออเคสตร้าหรือทีมฟุตบอลนั่นแหละ ในฐานะผู้นำของพวกเขา งานของผมคือการบริหารคนให้ทำงานด้วยกันและบรรลุเกินเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อสร้างองค์กรที่เราใฝ่ฝันอยากจะเป็น ซึ่งผมทำคนเดียวไม่ได้ หลังจากที่วางตัวคนให้เข้ากับตำแหน่งแล้ว ที่เหลือก็คือความพยายามร่วมกันให้บรรลุสิ่งที่เราคาดหวังไว้
การเคารพซึ่งกันและกัน การสนับสนุนกัน และการอยู่อย่างมีความสุขคือแก่นวัฒนธรรมองค์กรของเรา เมื่อผมเป็นผู้นำหัวหน้าโค้ช พนักงานระดับสูงและบรรดาผู้จัดการก็คือหัวหน้าโค้ช ลำดับต่อมาก็คือหุ้นส่วนและองค์กรที่เราทำงานด้วย เราดูแล ให้โอกาส และสนับสนุนพนักงานของพวกเขา เพื่อพนักงานเหล่านั้นจะได้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผมไม่เชื่อเรื่องการแข่งขันกับคนอื่น มันดีกว่าถ้าเราท้าทายตัวเองและกระตุ้นให้คนทำได้ดีกว่าเดิมหรือมากกว่าที่ถูกคาดหวังไว้ ที่เมก้า วีแคร์เราคิดแบบนี้ เราใส่ใจพนักงานของเรา จะเรียกว่าเป็นความรักก็ได้ เราอยากให้คนที่เรารักได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
เราไม่ได้รักและใส่ใจคนในองค์กรเท่านั้น แต่ยังรักและใส่ใจลูกค้าของเราด้วย เราอยากให้ลูกค้าทุกคนสุขภาพดีและมีความสุข นี่คือสาเหตุที่เราสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เราทำอยู่ เปิดศูนย์ดูแลสุขภาพ เวลเนส วีแคร์ ถ่ายทอดความรู้และช่วยผู้คนให้มีสุขภาพดี ตราบเท่าที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ผ่านงานอีเว้นท์ต่างๆ เช่น งานประชุมระดับเอเชียด้านสุขภาพและอาหารที่ทำจากพืชเป็นหลัก ซึ่งเราจัดขึ้นในกรุงเทพฯ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา แล้วยังมีคอร์สออนไลน์และโปรแกรมอีกมากมายเกี่ยวกับศาสตร์นี้ ผมเป็นคนโชคดีมาก ผมรักงานของผม ไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นภาระเลย ผมจะให้ความรู้และสอนใครก็ตามที่สนใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้